สมัคร Insiderly Pro

Vibe Coding: สร้างโปรแกรม แอป ซอฟท์แวร์ต่างๆ ด้วย AI โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเอง!

ai code generation low-code development no-code development vibe coding
 

ยุคสมัยนี้ AI ไม่ได้เป็นแค่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

ในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ "Vibe Coding" กำลังมาแรง เพราะมันเปิดทางให้เราสร้างโค้ดได้โดยไม่ต้องลงมือพิมพ์เองสักตัวอักษร!

แค่บอก AI ว่าอยากได้อะไร

ที่เหลือปล่อยให้ AI จัดการให้

มาทำความรู้จักกับ Vibe Coding กันให้มากขึ้นดีกว่า

 


Vibe Coding คืออะไรกันแน่?

พูดง่ายๆ Vibe Coding คือแนวคิดใหม่ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่เราไม่ต้องเขียนโค้ดเอง แต่ใช้พลังของ AI (ปัญญาประดิษฐ์) มาช่วยสร้างโค้ดให้

ไม่ว่าเราจะเป็นโปรแกรมเมอร์มือฉมัง หรือไม่เคยแตะโค้ดมาก่อน ก็เริ่มต้นได้

ด้วยความล้ำหน้าของเทคโนโลยี AI อย่าง LLMs (Large Language Models) ทำให้การสร้างแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ หรืองานซอฟต์แวร์อื่นๆ กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน

 

หลักการง่ายๆ ของ Vibe Coding

หัวใจสำคัญของ Vibe Coding คือ "การสื่อสาร" กับ AI บอก AI ว่าเราต้องการสร้างอะไร แล้ว AI จะร่ายมนตร์สร้างโค้ดที่จำเป็นออกมาให้

Vibe Coding ดียังไง?

  • ลดความปวดหัว: ไม่ต้องจำ Syntax ภาษาให้วุ่นวาย
  • ใครๆ ก็สร้างได้: ไม่มีพื้นฐานก็ไม่ใช่ปัญหา
  • ติดสปีดการพัฒนา: สร้างโปรเจกต์ได้เร็วทันใจ เพียงแค่ปลายนิ้ว และ Prompt ดีๆ

 


โปรแกรมเมอร์ยุคใหม่: ไม่ใช่แค่ "คนเขียนโค้ด" แต่เป็น "นักสร้างนวัตกรรม"

ในโลกของ Vibe Coding ทักษะการเข้าใจความต้องการของผู้ใช้ และสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้จริง สำคัญกว่าการนั่งเขียนโค้ด ทำให้บทบาทและหน้าที่ของโปรแกรมเมอร์ จะไม่ได้เป็นแค่คนเขียนโค้ด แต่จะต้องอัพเกรดเป็นนักสร้าง เป็น Product Manager แทน

Vibe Coding กับโปรเจกต์ใหญ่ และการทำงานเป็นทีม

Vibe Coding ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โปรเจกต์เล็กๆ สำหรับโปรเจกต์ขนาดใหญ่ หรือโปรเจกต์ที่ต้องทำงานร่วมกันหลายคน ก็สามารถใช้ Vibe Coding ได้เช่นกัน

  • Collaborative Coding: เครื่องมือ Vibe Coding หลายตัวรองรับการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ คล้ายกับ Google Docs ที่หลายคนสามารถแก้ไขเอกสารไปพร้อมๆ กันได้
  • Version Control: เชื่อมต่อกับระบบ Version Control อย่าง Git ได้ ทำให้สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของโค้ด, ย้อนกลับไปเวอร์ชันก่อนหน้า, และจัดการ conflict ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Dependency Management: เมื่อโปรเจกต์มี dependency (ไลบรารีหรือโมดูลภายนอก) หลายชั้น Vibe coding จะช่วยจัดการได้โดย บอก AI ว่าต้องการใช้ไลบรารีอะไรบ้าง
    AI จะจัดการ include ไลบรารีเหล่านั้น และ config ที่จำเป็น หากมี version conflict, AI อาจจะแนะนำวิธีแก้ไข

ตัวอย่าง:

สมมติเรากำลังสร้างแอปพลิเคชัน E-commerce ขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้:

  • React (Frontend Framework)
  • Node.js (Backend Runtime)
  • PostgreSQL (Database)
  • Stripe (Payment Gateway)

เราสามารถบอก AI ว่า: "สร้างแอปพลิเคชัน E-commerce โดยใช้ React, Node.js, PostgreSQL, และเชื่อมต่อกับ Stripe"

จากนั้น เครื่องมือ Vibe Coding จะช่วยสร้างโครงสร้างโปรเจกต์, ติดตั้ง dependencies, และเขียนโค้ดเริ่มต้นให้

แค่นี้ เราก็จะได้ prototype ที่แทบจะพร้อมใช้งานจริงได้แล้ว (อาจจะต้องมาขัดเกลามันอีกนิดหน่อย หรือถ้าโปรเจคต์ซับซ้อนอาจจะใช้เวลานานขึ้น)

 


แก้บั๊ก (Debugging) และความปลอดภัย ยังไง? เมื่อ AI เป็นคนเขียนโค้ด

แม้ Vibe Coding จะช่วยให้เริ่มต้นได้ง่าย

แต่การแก้บั๊ก (debug) และการดูแลเรื่องความปลอดภัย (security) ก็ยังเป็นเรื่องท้าทาย

นักพัฒนาต้องมีทักษะในการวิเคราะห์และหาจุดผิดพลาด

แม้ AI จะช่วยได้บ้าง แต่ก็ยังแทนที่ "เซนส์" ของมนุษย์ไม่ได้ 100%

การสื่อสารกับ AI ให้ชัดเจน บอกรายละเอียดให้ครบถ้วน จะช่วยให้ AI หาบั๊กได้แม่นยำขึ้น

ตัวอย่างเช่น

สมมติว่าเราใช้ Vibe Coding สร้างเว็บขายของออนไลน์ แต่ปุ่ม "หยิบใส่ตะกร้า" ไม่ทำงาน เราอาจจะต้องบอก AI ว่า:

  • "ปุ่ม 'หยิบใส่ตะกร้า' ในหน้าแสดงรายละเอียดสินค้าไม่ทำงาน เมื่อคลิกแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น"
  • "ฉันใช้ (ชื่อเครื่องมือ Vibe Coding) เวอร์ชันล่าสุด"
  • "ฉันใช้ (ชื่อเบราว์เซอร์) ในการทดสอบ"
  • "ตรวจสอบโค้ดส่วนนี้ว่ามีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยหรือไม่"
  • "ตรวจสอบ dependencies ที่เกี่ยวข้องว่าเป็นเวอร์ชันล่าสุดหรือไม่"

ยิ่งให้ข้อมูลละเอียด AI ก็จะยิ่งช่วยเราได้มาก (และปลอดภัยขึ้น!)

ที่สำคัญ: อย่าลืมว่าโค้ดที่สร้างโดย AI ก็อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย (security vulnerabilities) ได้

ดังนั้นเราต้อง:

  1. ตรวจสอบโค้ดเสมอ: อย่าเชื่อ AI 100%
  2. ใช้เครื่องมือช่วย: 
    • พวก Static Code Analysis ที่ใช้ตรวจสอบคุณภาพโค้ดต่างๆ เช่น Snyk
    • หา potential bugs และ security issues เช่น SonarQube, ESLint
    • Dynamic Code Analysis: ทดสอบโค้ดขณะ runtime เช่น OWASP ZAP 
  3. อัปเดต dependencies: ไลบรารีเก่าๆ อาจมีช่องโหว่ที่ถูกค้นพบแล้ว

 


เครื่องมือ Vibe Coding ยอดนิยม

ตอนนี้มีเครื่องมือ Vibe Coding เจ๋งๆ ให้ลองเล่นหลายตัว เช่น:

  • Cursor: ตัวช่วยเขียนโค้ดที่เข้าใจภาษาธรรมชาติ (บอกว่าอยากได้อะไร Cursor จัดให้!)
  • Windsurf: เน้นการสร้างเว็บไซต์และเว็บแอปพลิเคชันแบบง่ายๆ
  • Lovable : เป็น Vibe Coding tool สัญชาติสวีเดน ที่กำลังมาแรงมาก เพิ่งระดมทุนได้ 15 ล้านดอลลาร์ในรอบ Pre Series A มีรายได้ต่อปี 17 ล้านดอลลาร์จากจำนวนผู้ใช้งานที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
  • Bolt.new : โดดเด่นด้วยการผสมผสานความสามารถของ AI กับเครื่องมือพัฒนาซอฟต์แวร์ ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างและปรับแต่งแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็วในสภาพแวดล้อมการพัฒนาแบบ one-stop บนเบราว์เซอร์
  • Replit : เป็น IDE บนคลาวด์ที่ครอบคลุม รองรับภาษาโปรแกรมมิ่งมากกว่า 50 ภาษา มีฟีเจอร์การทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ และมีเครื่องมือ AI ช่วยเหลือ ทำให้เป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสำหรับการพัฒนา การเรียนรู้ และการทำงานร่วมกัน
  • v.0 : v0.dev เป็นเครื่องมือ Vibe Coding จาก Vercel ซึ่งโดดเด่นด้วยความสามารถในการแปลงคำอธิบายภาษาธรรมชาติเป็นโค้ด สร้าง UI ที่ใช้งานได้จริงอย่างรวดเร็ว โดยใช้เทคโนโลยีล่าสุดอย่าง Next.js, React และ Tailwind CSS ช่วยให้ทั้งนักพัฒนาและผู้ที่ไม่มีทักษะทางเทคนิคสามารถสร้างต้นแบบและพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว

ภัยเงียบของ Vibe Coding ที่เราต้องระวัง!

  1. โค้ดปลอมแปลง (Hallucinated Code):
    AI อาจ "มโน" Syntax ผิด เช่น ใช้ฟังก์ชันที่ไม่มีในไลบรารี
    วิธีแก้:
    • เปรียบเทียบกับเอกสารทางการ (Official Docs)
  2. Security Debt สะสม:
    โค้ดที่ generate เร็วแต่ไม่ตรวจสอบ → เปรียบเสมือน "สร้างบ้านเร็วแต่ใช้วัสดุเก่า"
    ตัวอย่าง:
    • API ที่ไม่มีการ authenticate
    • SQL query แบบ concatenate ที่เสี่ยงต่อการถูกทำ SQL Injection
      • วิธีแก้: ใช้เครื่องมือตรวจสอบ Security Debt เช่น Snyk, Veracode
  3. กฎหมายลิขสิทธิ์:
    • โค้ดบางส่วนอาจดัดแปลงจากโอเพนซอร์สโดยไม่รู้ตัว → ตรวจสอบ license ก่อน deploy

ทักษะที่ต้องพัฒนาและการจ้างงานที่เปลี่ยนไป

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา วิธีการที่บริษัทต่างๆ มองหาและจ้างนักพัฒนาซอฟต์แวร์เปลี่ยนไปมาก เพราะ AI และ Vibe Coding ทำให้คนจากหลายวงการ (ที่ไม่จำเป็นต้องจบวิศวะคอมฯ) สามารถก้าวเข้ามาเป็นนักพัฒนาได้

แต่ ทักษะสำคัญบางอย่างก็ยังเป็นที่ต้องการอยู่ดี

ทักษะที่ (ยังไงก็) สำคัญ

  • อ่านโค้ดเป็น แก้บั๊กได้: อ่านโค้ดคนอื่นรู้เรื่อง แก้ไขจุดผิดพลาดได้ คือทักษะที่ขาดไม่ได้
  • เข้าใจโครงสร้าง: มองภาพรวมของระบบออก จะช่วยให้พัฒนาและปรับปรุงได้ตรงจุด
  • คิดเป็นระบบ: มองเห็นความเชื่อมโยงของส่วนต่างๆ ได้

 

อยากเก่งเรื่องโค้ด ต้องฝึกยังไง?

ยุคนี้มีวิธีพัฒนาตัวเองมากมาย:

  1. ส่องโค้ดเทพ: ดูโค้ดจากโปรเจกต์โอเพนซอร์ส หรือของนักพัฒนาเก่งๆ
  2. เข้าแก๊งออนไลน์: แลกเปลี่ยนความรู้ ถาม-ตอบในชุมชนนักพัฒนา
  3. สร้างโปรเจกต์ส่วนตัว: ลองสร้างอะไรเล็กๆ น้อยๆ ฝึกฝีมือไปในตัว
  4. เลือกเครื่องมือ Vibe Coding มาลองใช้ : เพื่อให้การทำงานรวดเร็วมากขึ้น ในขณะที่วิธีการคิด ขั้นตอน กระบวนการ เรายังเป็นคนบงการ AI อยู่

 


บทสรุป

  • Vibe Coding คือคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตา ช่วยให้คนจำนวนมากขึ้นสร้างสรรค์โปรเจกต์ได้ แม้ไม่มีพื้นฐานโปรแกรมมิ่งมาก่อน แต่ทักษะพื้นฐานอย่างการแก้ปัญหา ทำความเข้าใจโครงสร้าง และการคิดเชิงระบบ ก็ยังสำคัญสำหรับนักพัฒนาในยุค AI
  • บริษัทที่อยากได้คนเก่งๆ ก็ต้องปรับตัว มองหาคนที่ใช้ AI เป็น เข้าใจเครื่องมือใหม่ๆ
  • การพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ จะช่วยให้นักพัฒนายุคใหม่อยู่รอดและเติบโตได้ในโลกที่เทคโนโลยีหมุนเร็วกว่าจรวด
  • Vibe Coding เปิดประตูสู่โลกแห่งการสร้างสรรค์ที่ไม่เคยมีมาก่อน
  • ในอนาคต AI จะยิ่งฉลาดขึ้น และเราจะได้เห็น Vibe Coding ที่ทรงพลังกว่านี้อีก
  • ด้วย AI ที่ล้ำหน้า ใครๆ ก็สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องโค้ดที่ยุ่งยากอีกต่อไป

Insiderly Selection Tools

แนะนำเครื่องมือ AI ที่ได้รับการคัดเลือก

เครื่องมือ AI ที่น่าสนใจ

รับข่าวอัพเดทส่งตรงถึงอีเมลคุณ

มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคอมมูนิตี้การเรียนรู้ของ Insiderly กันนะครับ ❤️😊